slideเรื่องน่าสนใจ

► การวิปัสสนากรรมฐาน

การวิปัสสนากรรมฐาน
ทุกคนล้วนต้องการความสุข ไม่มีใครชอบความทุกข์ แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราต้องหัดรู้จักรับมือกับมันให้ได้ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีในการจัดการรับมือกับปัญหาที่ต่างๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือปัญหานั้นๆ
การวิปัสสนากรรมฐานหรือการเจริญวิปัสสนาเป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อที่จะปลดเปลื้องกิเลสหรือความทุกข์ต่างๆ ให้ออกไปจากชีวิต อันนำมาซึ่งการดับทุกข์และความสงบสุขทั้งกายและใจ หรือว่าง่ายๆ คือ “การปล่อยวางและไม่ยึดติด” ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยวางจากกิเลส ความทุกข์ ความคาดหวังต่างๆ หรือแม้แต่การไม่ยึดติดกับความสุข วัตถุนิยมหรือสิ่งรอบกายทั้งหลายได้ ก็นับว่าเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว หากว่าคุณสามารถปล่อยวางและไม่ยึดติดได้แล้ว คุณจะรู้สึกเป็นอิสระ ผ่อนคลาย และมีความสบายทั้งกายและใจ

ารวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นที่นิยมและผู้คนปฏิบัติตามกันเยอะจะมีดังนี้​
1. พองหนอ ยุบหนอ
เป็นการตั้งสติไว้ที่หน้าท้อง พร้อมกับภาวนาว่า “พองหนอ” และ “ยุบหนอ” ตามการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง โดยให้กำหนดจิตไว้ที่ปลายจมูกหรือริมฝีปาก และพยายามสังเกตุลมหายใจเข้า-ออก นอกจากนี้ยังมีการสอนให้กำหนดจิตและลมหายใจเข้า-ออก ด้วยการภาวนาในใจเวลาหายใจเข้าว่า “พุท” เวลาหายใจออกว่า “โธ”


2. การนั่งสมาธิ
เป็นการเจริญสติมีความสำคัญมากเพราะทำให้เกิดปัญญา ความสงบ ความสบาย และความรู้สึกที่เป็นสุข เมื่อเจริญสติกำหนดรู้ให้ต่อเนื่องกันได้แล้วจิตจะสงบลง ความฟุ้งซ่านจะน้อยลง และทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ ปัญญา ความคิดถูก รู้ถูก พูดถูก ทำถูก หรือที่เรียกว่าปัญญาหรือวิปัสสนาญาณนั่นเอง


3. เดินจงกรม
แตกต่างจากการเดินแบบปกติธรรมดาทั่วไปตรงที่ต้องใช้ “สติ” ในการเดิน คือ ต้องมีสติคอยกำหนดอยู่ตลอดเวลาในการเดิน ทำได้ไม่ยาก คุณก็สามารถกำหนดสติเวลาย่างก้าวได้ ย่างเท้าซ้ายให้กำหนดในใจ “ซ้ายหนอ” ย่างเท้าขวาให้กำหนดในใจ “ขวาหนอ” สลับกันไปเรื่อยๆ ให้สติอยู่กับกาย ซึ่งการเดินถือเป็นอิริยาบถหนึ่งในอิริยาบถทั้ง 4 ที่ช่วยพัฒนาในด้านจิตใจได้


4. มีสติทุกการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ
ขณะที่เคลื่อนไหวให้ภาวนาและมีสติอยู่ตลอดเวลา และให้สังเกตุทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน การนอน หรือแม้แต่การเปลี่ยนท่าทาง อย่างเช่น หากกำลังจะนอนลง ให้ภาวนาในใจว่า “นอนหนอ” หรือหากกำลังจะทานข้าว ให้ภาวนาเริ่มตั้งแต่การวางจาน การนั่ง การมองเห็น ไปจนถึงการเคี้ยว การกลืน โดยการมีสติในทุกอิริยาบถต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราไม่ประมาท และยังช่วยพัฒนาลำดับความคิดในการจะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีอีกด้วย

ประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนานั้นมีนานับประการ โดยผลดีในทางโลกนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่เราสามารถนำไปประกอบสัมมาอาชีพหรือนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และทางด้านร่างกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ช่วยให้มีสมาธิ ความจำดีขึ้น สติปัญญาเฉียบแหลม ช่วยบำบัดโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง หรือโรคที่เกี่ยวกับทางใจต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้มีสติอยู่ตลอด ลดความประมาทในการใช้ชีวิตลง และยังช่วยพัฒนาจิตใจให้มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนผลดีของการเจริญวิปัสสนาในทางธรรมนั้นก็มีอยู่เยอะไม่แพ้ทางโลกเช่นกัน โดยช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีสติในการดำเนินชีวิตหรือในการทำสิ่งต่างๆ ช่วยให้มีสมาธิ สามารถหยั่งรู้ ตัดกิเลสและปล่อยวางให้ไม่ลุ่มหลงมัวเมาไปกับสิ่งเร้ารอบกาย ตัดวัฏฏสงสาร ตัดเวรตัดกรรมหรือลดกรรมที่เคยได้ทำมาในอดีตชาติโดยการแผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่เป็นจิตวิญญาณ

ที่มา : https://www.sanook.com